วันอังคารที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

Street Photography

เสร็จสิ้นและผ่านพ้นไปได้ด้วยดีกับกิจกรรมการประชุมเชียร์รับน้องใหม่ งานไหว้ครูและครอบครูช่างของคณะฯ จากนี้มาเริ่มเข้าเนื้อหาอย่างเข้มข้นกันเลย























เรียนรู้กับการถ่ายภาพ Street Photography บนเครือข่ายไซเบอร์

NEW YORK SCHOOL and NEW STREET PHOTOGRAPHY
บทความโดย ภูมิกมล ผดุงรัตน์
article : Poomkamol Phadungratna
ตีพิมพ์ครั้งแรกในนิตยสารณัฐนลิน / แก้ไขสำหรับหนังสือศิลปะภาพถ่ายและภาพยนตร์
ของมหาวิทยาลัยสุโขทัย ฯ ปี 2548 / แก้ไขล่าสุดสำหรับ Photo history 253 ปี 2550

ความหมายของคำว่า ภาพถ่ายข้างถนน / สตรีท โฟโตกราฟฟี่ ( Street Photography )
อ้างอิงหนังสือ Photo Speak ( Gilles Mora , Abbe Ville Press ) ความหมายเดิมของคำว่า สตรีท โฟโตกราฟฟี่ ( street photography ) กล่าวถึงช่างภาพพอทเทรตข้างถนน รับถ่ายภาพราคาย่อมเยา ซึ่งธุรกิจประเภทนี้หายสาบสูญไปเพราะการกำเนิดกล้องถ่ายภาพขนาดเล็ก (ถ่ายเองถูกกว่า) และนั่นคือความหมายดั้งเดิมของคำนี้ อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบัน สตรีท โฟโตกราฟฟี่ หรือ ภาพถ่ายข้างถนนหมายถึง ภาพถ่ายสารคดีประเภทหนึ่ง ( documentary ) ซึ่งเน้นเรื่องราวชีวิตในเมืองชีวิตประจำวัน บนท้องถนน

N e w Y o r k S c h o o l
การทำงานแบบกลุ่มสกุลช่างนิวยอร์ค

แม้สกุลช่างนิวยอร์คบันทึกเหตุการณ์ตามสภาพจริงที่เกิดโดยมิได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเหตุการณ์ในภาพแต่ทว่าช่างภาพให้ความสำคัญต่อความเป็นมนุษย์มากเป็นพิเศษ (humanist and subjective approach) ทำให้มุมมองของภาพมิได้ยืนอยู่บนความเป็นกลางเท่าใด ..พวกเขาในฐานะช่างภาพมิใช่แค่คนผ่านทางแต่เป็น ประจักษ์พยานผู้มีอารมณ์ร่วมกับเรื่องราวในภาพพวกเขาสนใจในความสับสน วุ่นวายของสังคมเมือง
...
จากแนวคิดนี้เอง ทำให้รูปแบบของภาพต่างจากงานสารคดีทั่วไปองค์ประกอบภาพมีความเคลื่อนไหวมากขึ้น มีฉากหน้าที่โผล่เข้ามาอย่างบังเอิญ มีฉากหลังที่หักมุมในบางครั้ง และบางส่วนของภาพเป็นแค่เงาลางๆ หรือปล่อยให้ขาดความคมชัด (out of focus) เนื้อของภาพ (grain) ดูค่อนข้างหยาบ ซึ่งสะท้อนบรรยากาศชีวิตบนท้องถนนได้อย่างชัดเจนสามารถถ่ายทอดความวุ่นวายลงบนภาพนิ่งสองมิติได้อย่างดี นับเป็นการหักเหทางสุนทรียศาสตร์ครั้งสำคัญทางประวัติศิลปภาพถ่าย และการหักเหดังกล่าวเกิดขึ้นจากแนวคิด (concept) ที่มีต่อโลกรอบตัวของช่างภาพ ประกอบกับเทคโนโลยีกล้องถ่ายภาพขนาดเล็ก ( 35 mm. ) ฟิล์มความไวแสงสูง ช่วยให้พวกเขาทำงานอย่างรวดเร็ว บางครั้งสามารถยกกล้อง และกดชัตเตอร์โดยไม่ต้องมองเลย วิธีการนำเสนอเช่นนี้กลายเป็นต้นแบบของงานภาพถ่ายข้างถนนยุคต่อมา
...
กล่าวกันว่าแนวคิดของสกุลช่างนิวยอร์ค มีความใกล้ชิดกับปรัชญาแบบ existentialismเช่นงานเขียนของ อัลแบร์ กามูร์ (Albert Camus) ชอง พอล ซาร์ต (Jean Paul Sartre) ซึ่งมิใช่เรื่องแปลกเลยเมื่อพวกเขาต่างเป็นคนร่วมสมัยเดียวกัน นอกจากนั้นแนวทางภาพถ่ายยังขานรับแนวคิดแบบ decisive moment หรืออาจแปลเป็นไทยได้ว่าวินาทีแห่งการตัดสินใจของอองรี คาทิเอ เบรซง (Henri Cartier Bresson) ช่างภาพสารคดี ชาวฝรั่งเศส ซึ่งมองภาพถ่ายในฐานะสื่อที่เล่นกับ จังหวะ เวลา บวกประสบการณ์ช่างภาพ ในการนำเสนอเรื่องราวชีวิตที่เคลื่อนไหวอย่างไม่เคยหยุดนิ่ง (และจับแช่ลงบนกรอบภาพนิ่งสองมิติ) อองรี คาทิเอ เบรซง มองว่าช่างภาพกับอุปกรณ์ของเขาต้องเป็นหนึ่งเดียวกัน คนมองเหมือนที่กล้องเห็น กล้องเห็นเหมือนที่คนมองเห็นเมื่อเป็นดั่งนี้แล้วจึงสามารถจับเวลาและเหตุการณ์ที่ไม่เคยหยุดนิ่งได้ ปรัชญานี้ถือเป็นอิทธิพลทางความคิดของโลกตะวันออก เช่น ศาสนาพุทธ นิกายเซน (zen) ของญี่ปุ่น (ปรัชญาศาสนาสะท้อนในงานศิลปะงานจิตรกรรมภู่กันของญี่ปุ่นและจีนก็อาศัยหลักการเดียวกันนี้) อย่างไรก็ตาม การที่ช่างภาพสกุลช่างนิวยอร์คคุ้นเคยกับปรัชญาเหล่านี้มิได้หมายความว่าพวกเขาจำต้องใช้หลักการเหล่านี้เป็นตัวตั้งเสมอ ..แนวคิดอาจเพียงแค่สนับสนุนสิ่งที่พวกเขาเชื่ออยู่แล้วแต่เดิม

อีกประการหนึ่ง คำว่าสกุลช่างนิวยอร์ค / New York School นั้นเป็นชื่อที่สังคมกล่าวขานแต่พวกเขาไม่เคยมาตั้งกลุ่มกันอย่างเป็นทางการ ช่างภาพกลุ่มนี้มี โรเบิร์ต แฟรงค์ (Robert Frank) เฮเลน เลอวิท (Helen Levitt) ซิด กรอสแมน (Sid Grossman) บรูซ เดวิดสัน (Bruce Davidson)วิลเลียม คลาย (William Klein) และอีกหลายคน รวมทั้งช่างภาพแฟชั่น เช่น ไดแอน อาบัส (Diane Arbus)ริชาร์ด อวาดอน (Richard Avedon) แหล่งข้อมูลบางแห่งจะรวม อเลกซี่ โบรโดวิช (Alexey Brodovitch) เข้าไปเป็นหนึ่งในกลุ่มช่างภาพนี้ด้วย แต่ทว่าสังคมจะรู้จัก โบรโดวิช ในฐานะกราฟฟิค ดีไซเนอร์ (graphic designer) มากกว่า เขาเป็นบุคคลสำคัญผู้อยู่เบื้องหลังการออกแบบนิตยสารแฟชั่นชื่อดังของอเมริกา เป็นครูของงานออกแบบสิ่งพิมพ์สมัยใหม่และครูของช่างภาพชื่อดังหลายคน (เช่น ริชาร์ด อวาดอน)
...
การหักเหทางสุนทรียศาสตร์ของสกุลช่างนิวยอร์คนั้นขยายผลมาจากการใช้สื่อภาพถ่ายเพื่อความเป็นธรรมในสังคม แบบ ลิวอิส ไฮน์ การตัดสินใจอย่างเฉียบพลันแบบ อองรี คาทิเอ เบรซงรวมทั้งปรัชญาการค้นหาความหมายของชีวิต ในช่วงก่อนและหลังสงครามโลกครั้งที่สอง บวกกับความเชื่อ (ภายใต้กรอบทางวัฒนธรรม) ของพวกเขาเอง และสิ่งเหล่านี้นำสู่ความเปลี่ยนแปลงในการรับรู้ของมนุษย์ทั้งในอารยธรรมตะวันตก และขยายผลไปสู่อารยธรรมอื่นๆ ที่ไม่เคยมารู้เรื่องราวเหล่านี้ด้วยเลย
...
ภาพถ่ายสารคดีข้างถนน ในแนวความคิดของ
N e w S t r e e t P h o t o g r a p h y

ภาพถ่ายสารคดีข้างถนน

ในแนวความคิดของ New Street Photography หรือภาพถ่ายข้างถนนแนวใหม่(มีบทบาทช่วง ปี ค.ศ.1960 ถึง1980) คนกลุ่มนี้เป็นศิลปิน/ช่างภาพอีกกลุ่มหนึ่งซึ่งขานรับแนวคิดและสุนทรียศาสตร์ของสกุลช่างนิวยอร์คแต่ลดทอนแง่มุมของความเห็นอกเห็นใจ หรือการมีอารมณ์ร่วม หันมาเน้นเรื่องของรูปทรง (form) หันมาให้ความสำคัญกับเรื่องของภาพ (visual) มากกว่าเหตุการณ์ในภาพ บางครั้งเหมือนพวกเขากดชัตเตอร์โดยมิได้ ใส่ใจว่ากล้องถ่ายติดอะไรมาบ้าง ทั้งนี้มาจากแนวคิดที่ว่าชีวิตมีเรื่องราวน่าสนใจมีเรื่องจะบอกเล่าในตัวเองอยู่แล้ว และช่างภาพเป็นแค่สื่อบันทึกสิ่งเหล่านั้นการเข้าไปมีอารมณ์ร่วมจะทำให้เรื่องราวนั้นผิดเพี้ยน บิดเบือนไปจากความจริง ศิลปิน / ช่างภาพกลุ่มนี้ประกอบด้วยแกรี่ วินโนแกรน (Gary Winogrands) ลี ฟีแลนเดอร์ (Lee Friedlander) ซึ่งเป็นการนำศิลปะภาพถ่ายหลีกหนี หรือฉีกตัวเองจากภาพบีบคั้น สะเทือนอารมณ์..ที่เริ่มจะมีมากมายเกินไปในยุคนั้น งานภาพถ่ายข้างถนน-- มิได้ถูกจำกัดด้วยเวลา หรือสถานที่ ไม่ว่าจะเป็นกลางวัน กลางคืนบน ท้องถนนหรือในบ้าน มิอาจรอดพ้นความอยากรู้อยากเห็นของช่างภาพไปได้ยิ่งเทคโนโลยี ก้าวหน้าเพียงใด ยิ่งขยายขอบเขตการทำงานของช่างภาพขึ้นเท่านั้น
...
ระหว่างปี ค.ศ.1920 ถึง1940
(ช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่งจนถึงสงครามโลกครั้งที่สอง)
บราไซ (Brassai) ช่างภาพชาวฮังกาเรี่ยน ตระเวนบันทึกภาพชีวิตในนครปารีส ฝรั่งเศสภาพชีวิตบน
ท้องถนน ในร้านเหล้า ร้านกาแฟ ตรอกซอกซอย ซ่องโสเภณี โรงระบำโป๊ ไปจนถึงแหล่งมั่วสุมของชนชั้นสูง งานของเขาจำนวนมากจะเป็นภาพชีวิตกลางคืน และในปี ค.ศ.1924เขาหันมาถ่ายภาพกลางคืนอย่างจริงจัง (นอนกลางวัน ทำงานกลางคืน) จนกระทั่งตีพิมพ์เป็นหนังสือรวมภาพผลงานในปี ค.ศ.1933 (Paris by Night / Paris de Nuit)และช่วงเวลาใกล้เคียงกันในสหรัฐอเมริกา อาเธอร์ ฟีลิก ( Arthur Fellig ) หรือที่รู้จักกันทั่วไปใน นามว่า วีจี้ ( Weegee ) ช่างภาพผู้คุ้นเคยกับชีวิตกลางคืน ผู้รอบรู้เรื่องราวอาชญากรรมในเมืองนิวยอร์คเป็นอย่างดี งานของเขาคล้ายคลึงกับบราไซ แต่ทว่ารุนแรงกว่าแทบทุกครั้งที่มีการฆาตกรรม หรือเรื่องตื่นเต้น สยองขวัญวีจี้มักไปปรากฏกายก่อนเจ้าหน้าที่ตำรวจเสมอ..เพื่อถ่ายภาพ บางคนคิดว่าเขาเลี้ยงผี หรือมีพลังจิตพิเศษหยั่งรู้อนาคต แต่ความจริงแล้วเขามีเครื่องดักฟังวิทยุสื่อสารของตำรวจอยู่ในรถ ผลงานของเขาตีพิมพ์รวมเล่มในปี ค.ศ.1936 (Naked City)


B&W Street Photography Part 1

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น